วันอาทิตย์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2558

วัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับอาหาร


                                


        







        อาหารพื้นบ้านภาคใต้มีรสชาติโดด เด่นเป็นเอกลักษณ์ เฉพาะสืบเนื่องจากดินแดนภาคใต้เคยเป็นศูนย์กลางการเดิน เรือค้าขายของพ่อค้าจากอินเดีย จีนและชวาในอดีตทำให้วัฒน ธรรมของชาวต่างชาติโดย เฉพาะอินเดียใต้ซึ่งเป็นต้นตำรับใน การใช้เครื่องเทศปรุงอาหารได้เข้ามามีอิทธิพลอย่างมาก
       อาหารพื้นบ้านภาคใต้ทั่วไป มีลักษณะผสมผสานระหว่าง อาหารไทยพื้นบ้านกับอาหารอินเดียใต้ เช่น น้ำ
บูดู ซึ่งได้มาจากการหมักปลาทะเลสดผสมกับเม็ดเกลือ และมีความคล้ายคลึงกับอาหารมาเลเซียอาหาร ของภาคใต้จึงมีรสเผ็ดมากกว่าภาคอื่น ๆ และด้วยสภาพภูมิศาสตร์อยู่ติดทะเลทั้งสองด้าน มีอาหารทะเล อุดมสมบูรณ์ แต่สภาพอากาศร้อนชื้นฝนตกตลอดปี อาหารประเภทแกงและเครื่องจิ้ม จึงมีรสจัดช่วยให้ร่าง กายอบอุ่นป้องกันการเจ็บป่วยได้อีกด้วย


                                                        

       การกิน ลักษณะเด่นของการรับประทานอาหารของชาวภาคใต้ คือ มีผักสารพัดชนิดเป็นผักจิ้มหรือผักแกล้มในการรับประทาน อาหารทุกมื้อ ภาษาท้องถิ่น เรียกว่า "ผักเหนาะ" ความนิยมใน การรับประทานผักแกล้มอาหารของชาวใต้ เป็นผลมาจากการที่ ภาคใต้มีพืชผักชนิดต่างๆ มาก และหาได้ง่าย คนใต้นิยมรับประ ทานอาหารเผ็ด จึงต้องมีผักแกล้ม เพื่อช่วยบรรเทาความเผ็ด และเพื่อชูรสอาหาร อาหารท้องถิ่นยังนิยมใส่ขมิ้นในอาหาร นิยมรับประทาน "ขนมจีน" รองจากข้าว ใส่เคยหรือกะปิเป็น เครื่องปรุงรสอาหาร ชาวไทยมุสลิมนิยมรับประทานน้ำบูดู ซึ่ง เป็นน้ำที่หมักจากปลา แล้วนำมาเคี่ยวปรุงรสให้ออกเค็มๆ หวานๆ นับเป็นอาหารที่ขาดไม่ได้ของชาวไทยมุสลิม
          อาหารปักษ์ใต้แม้จะเป็นอาหารที่อร่อย น่าลิ้มลอง แต่สิ่งหนึ่งที่ประทับใจผู้คน คือความเผ็ดร้อนของรส ชาติอาหารผู้คนในภาคใต้นิยมรสอาหารที่เผ็ดจัด เค็ม เปรี้ยว แต่ไม่นิยมรสหวาน รสเผ็ดของอาหารปักษ์ ใต้มาจากพริกขี้หนูสด พริกขี้หนูแห้งและพริกไทย ส่วนรสเค็มได้จากกะปิ เกลือ รสเปรี้ยว ได้จากส้มแขก น้ำ ส้มลูกโหนด ตะลิงปลิง ระกำ มะนาว มะขามเปียก และมะขามสด เป็นต้น
          เนื่องจากอาหารภาคใต้มีรสจัด อาหารหลาย ๆ อย่างจึงมีผักรับประทานควบคู่ไปด้วยเพื่อลดความเผ็ด ร้อนลงซึ่งคนภาคใต้ เรียกว่า ผักเหนาะ หรือบางจังหวัดอาจเรียกว่า ผักเกร็ด ผักเหนาะของภาคใต้มีหลาย อย่าง บางอย่างก็เป็นผักชนิดเดียวกับภาคกลาง เช่น มะเขือเปราะ ถั่วฝักยาว ถั่วพู ฯลฯ แต่ก็มีผักอีกหลาย อย่างที่รู้จักกันเฉพาะคนภาคใต้เท่านั้น การเสิร์ฟผักเหนาะกับอาหารปักษ์ใต้ ชนิดของผักจะคล้ายๆ กัน หรือ
อาจเป็นผักที่ผู้รับประทานชอบก็ได้

แหล่งข้อมูล : http://culture-spu.blogspot.com/p/blog-page_1052.html

การแข่งเรือกอและด้วยฝีพาย




         ช่วงเวลา ประเพณีการแข่งเรือกอและและเรือยาวด้วยฝีพายหน้าพระที่นั่ง ได้จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี ในระหว่างวันที่ ๒๑-๒๕ กันยายน ซึ่งเป็นระยะเวลาที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ ได้เสด็จแปรพระราชฐานมาประทับแรม ณ พระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์

ความสำคัญ


        ในการเสด็จแปรพระราชฐานทุกครั้งจะทรงเยี่ยมเยียนราษฎรในจังหวัดนราธิวาสและจังหวัดใกล้เคียงทุกหมู่เหล่า ทรงวางโครงการน้อยใหญ่เพื่อแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนให้มีความสงบสุขร่มเย็นด้วยพระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้าฯประชาชนชาวจังหวัดนราธิวาสต่างเห็นพ้องต้องกันว่าสมควรจัดให้มีการแข่งขันเรือกอและอันเป็นประเพณีเก่าแก่ของชาวจังหวัดนราธิวาสถวายทอดพระเนตรเพื่อเทิดพระเกียรติในพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้นและเป็นการฟื้นฟูประเพณีการแข่งเรือกอและด้วยฝีพาย หน้าพระที่นั่ง และทรงมีพระบรมราชานุญาตให้จัดการแข่งขันเมื่อวันที่ ๑๐ มีนาคม พ.ศ.๒๕๑๙ อีกทั้งได้พระราชทานถ้วยรางวัลแก่ทีมเรือที่ชนะการแข่งขันด้วย

สาระ

        การแข่งขันใช้เรือกอและระยะทาง ๖๕๐ เมตร ผู้ควบคุมลำละ ๑ คน จำนวนฝีพายรวมทั้งนายท้ายไม่เกินลำละ ๒๓ คน และมีฝีพายสำรองไม่เกินลำละ ๕ คน การเปลี่ยนตัวในแต่ละเที่ยวทำได้เที่ยวละไม่เกิน ๕ คน ทั้งนี้ให้ผู้ควบคุมทีมประจำเรือแจ้งให้คณะกรรมการปล่อยเรือทราบ เรือที่เข้าแข่งขันทุกลำต้องถึงจุดเริ่มต้น (จุดปล่อยเรือ) ก่อนเวลาที่กำหนดแข่งขันในรอบนั้น หากไปช้ากว่ากำหนดเกิน ๑๕ นาทีถือว่าสละสิทธิ์จะปรับแพ้ในรอบนั้นได้ ก่อนการได้ยินสัญญาณ ณ จุดเริ่มต้นฝีพายทุกคนยกพายให้พ้นผิวน้ำ ยกเว้นนายท้ายเรือให้ใช้พายคัดท้ายเรือบังคับเรือให้หยุดนิ่ง และจะต้องวิ่งในลู่ของตน หากวิ่งผิดลู่หรือสายน้ำถือว่าผิดกติกาให้ปรับเป็นแพ้ในเที่ยวนั้น เรือที่เข้าถึงเส้นชัยก่อนลำอื่นโดยถือหัวเรือสุดเป็นการชนะการแข่งขันในเที่ยวนั้น การแข่งขันแบ่งเป็น ๔ รอบ รอบที่ ๑ และรอบที่ ๒ เป็นรอบคัดเลือก รอบที่ ๓ เป็นรอบรองชนะเลิศและรอบที่ ๔ เป็นรอบชิงชนะเลิศ

แหล่งข้อมูล : http://www.prapayneethai.com/

การทักทาย



        การทักทาย  หรือ การให้สลาม เมื่อพบปะกัน คือ การกล่าว “อัสลามุอลัยกุม”และมีการสัมผัสมือกัน สำหรับผู้ที่ถูกให้สลามจำเป็นจะต้องตอบว่า “อาลัยกุมมุสลาม” การให้สลามก็มีมารยาทที่ควรปฏิบัตินั้นก็คือ

     -  เด็กให้สลามกับผู้ใหญ่ แต่ผู้ใหญ่ก็สามารถทักทายเด็กก่อนได้ เพราะเป็นการฝึกให้เด็กได้รู้จักเรียนรู้สิ่งที่ดีในอิสลาม
     -  คนที่เดินให้สลามกับคนที่นั่ง
     -  ก่อนเข้าบ้านควรที่จะให้สลามก่อน หรือก่อนเข้าบ้านใครก็ให้สลามก่อนอย่าดุ่ม ๆ เข้าไปพร้อมให้สลามทันทีเพราะเจ้าของบ้าน อาจจะยังแต่งกายไม่เรียบร้อยหรือติดธุระหรือไม่อยู่บ้าน
   -  หญิงควรให้สลามกับหญิง ชายควรให้สลามกับชาย แต่ชายและหญิงสามารถให้สลามกันได้
   -  คนที่อยู่บนพาหนะให้สลามแก่คนเดิน

แหล่งข้อมูล : https://www.l3nr.org/posts/453744


วันศุกร์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2558

ความสำคัญ
             โรงเรียนสังกัดเทศบาลที่ยากจน และทุนการศึกษาการสอบแข่งขันคณิตศาสตร์โอลิมปิกชิงทุนนกเขาชวาอาเซียน ให้กับสำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดยะลาเป็นประจำทุกปี

ลักษณะนกเขาชวาที่นิยมเลี้ยงเพื่อแข่งขัน
             นักเลงนกเขาชวาจะไม่นิยมเรียกคำลักษณะนามของนกเขาชวาว่า "ตัว" แต่จะนิยมใช้คำลักษณะนามว่า "นก" แทน เป็นการยกย่องตามความเชื่อถือของคนโบราณ ที่ถือว่านกเขาชวาเป็นนกที่ให้โชคให้ลาภ และถ้านกเขาชวาลักษณะไม่ดีก็จะให้โทษด้วย ไม่เหมือนนกชนิดอื่นที่เลี้ยงไว้ดูเล่นเพียงอย่างเดียว ซึ่งนกชนิดอื่นเรียกคำลักษณะนามว่า "ตัว" ได้ แต่นกเขาชวามักต้องเรียก "นก" เสมอ เช่น "นกเขาชวา ๑๐ นก" เป็นต้น
ภาคใต้ถือว่าการเลี้ยงนกเขาชวาเป็นงานอดิเรก และบางคนยังสามารถเลี้ยงเป็นอาชีพได้ด้วย หลาย ๆ ครัวเรือนจะมีเสารอกนกจำนวนมากบ้าง น้อยบ้างตามฐานะ และมักจะมีกรงนกเขาชวาแขวนตามชายคาบ้าน นอกจากนี้ยังมีอีกหลายครัวเรือนที่มีกรงนกผสมพันธุ์ ขนาดใหญ่บ้างเล็กบ้างตามฐานะ ที่สำคัญคือมักจะมีถ้วยรางวัลจากนกเขาชวาที่ชนะการแข่งขันจากสถานที่ต่าง ๆ เป็นส่วนประดับอาคารชานเรือนของตนด้วย
นกเขาชวาที่นิยมเลี้ยงมี ๒ ประเภท คือ ประเภทนกดีตามตำราเรียกว่า "นกลักษณะ" กับประเภทที่เลี้ยงไว้ฟังเสียงเรียกว่า "นกเสียง" ภายหลังความนิยมนกเขาชวาดีตรงตามตำรา หรือนกลักษณะลดลง เพราะผู้ใดได้นกลักษณะดีตรงตามตำราก็ได้เป็นผู้ชนะตลอดทุกครั้งที่มีการแข่งขัน คนอื่นที่ไม่มีหรือหาได้ไม่ดีเท่าก็จะรู้สึกไม่สนุก เพราะมักแพ้ทุกครั้ง ความนิยมเลี้ยงนกเสียงจึงมีมากขึ้นในช่วงหลัง และนิยมมาจนถึงปัจจุบันนี้ การแข่งขันนกเสียงมีปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้นกเขาชวาผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ ผู้เป็นเจ้าของก็จะสนุกและไม่เบื่อ เพราะมีการลุ้นเพื่อให้นกของตนชนะทุกครั้งที่มีการแข่งขัน แต่นกเขาที่จะชนะได้จะต้องขันเสียงกังวานไพเราะ มีจังหวะการขับ และต้องขันทนด้วย ตามกติกาที่คณะกรรมการตัดสินกำหนด ถ้าขาดอย่างใดอย่างหนึ่งในวันที่เข้าแข่งขัน โอกาสจะชนะ ก็น้อย ปัจจุบันผู้เลี้ยงนกเขาชวาจึงไม่สนใจรูปร่าง
ลักษณะของนกเขาชวาว่าจะเป็นนกให้คุณหรือ ให้โทษตามตำรา แต่จะมุ่งที่เสียงนกเขาชวาเป็นใหญ่ ถ้าขันเสียงดี ไพเราะมีกังวาน นักเลงนกเขารุ่นใหม่จะนิยมเล่นทั้งสิ้น
                เสียงของนกเขาชวามี ๓ ขนาด คือ ใหญ่ กลาง และเล็ก นักเลงนกเขาชวาทางภาคใต้จัดอันดับราคาเสียง ให้นกเสียงใหญ่มีราคาแพงกว่านกเขาเสียงกลาง และนกเขาเสียงกลางมีราคาแพงกว่านกเขาเสียงเล็ก ในกรณีที่นกมีความดีเหมือนกัน นกที่ขันจังหวะช้ามีราคาดีกว่านกที่ขันจังหวะธรรมดาและจังหวะเร็ว นกที่ขันเสียงท้ายกังวานมากมีราคาดีกว่าท้ายกังวานน้อย และเสียงท้ายยาวที่มีความกังวานดีกว่าเสียงท้ายสั้นที่มีความกังวาน รวมทั้งเสียงหน้ายาวดีกว่าเสียงหน้าสั้นด้วย และนกที่มีความดีเหมือน ๆ กันขัน ๕ จังหวะ จะนิยมมากกว่า ๔ จังหวะ และ ๔ จังหวะจะนิยมมากกว่า ๓ จังหวะ สำหรับการแข่งขันนกเขาชวาเสียงอาเซียนจังหวัดยะลานั้นในการแข่งขันทุกครั้งจัดให้มีการแข่งขัน ๔ ประเภท คือ ประเภทเสียงใหญ่ เสียงกลาง เสียงเล็ก และประเภทรวมเสียง
               นักเลงนกเขาชวาเสียงจะตั้งชื่อนกของตนเองเป็นชื่อต่าง ๆ ประจำนกตามความคิด ความเชื่อ และความเป็นมาของนก เช่น ตั้งตามลักษณะรูปร่าง และสีของนก เช่น "นกแก้ว" "หัวจุก" "ช้างเผือก" "สายน้ำผึ้ง" ตั้งเพื่อเป็นสิริมงคล เช่น "วาสนา" "นำโชค" "ลูกกตัญญู" "เทพนรสิงห์" "เพชรพนม" ตั้งชื่อตามจังหวัดถิ่นที่อยู่ เช่น "ศรีเคดาห์" "ศรีมาเลาะ" "เพชรนครปฐม" "ชีลัตตานี" "สิงห์ ก.ท.ม." "ตาโละกาโปร์" "ศรีอลอสตาร์" "ศรีกระบี่" "หนุ่มชาวเขื่อน" การตั้งชื่อที่ให้ดูน่าเกรงขาม เช่น "ตะเคียนทอง" "ขุนศึก" "จันทร์เพชร" "นางพญา" "ก้องนภา" "สิงห์ทอง" "เพชรมงคล" "เพชรตะวัน" "เพชรทักษิณ" "เพชรสุริยา" การตั้งชื่อตามบุคคลที่มีชื่อเสียง เช่น "เป่เล่" "เป่เล่น้อย" "ปาปิญอง" "ฮิตเลอร์" "มาราโดน่า" "มารีโอ" "ซัมปีโก้" "นโปเลียน" "ไมเคิลแจ๊คสัน" เป็นต้น
ลักษณะของกิจกรรมในงานการแข่งขัน
            ในระยะเริ่มต้นของการจัดการแข่งขันมีกิจกรรมหลักคือการแข่งขันนกเขาชวาเสียง ประเภทเสียงต่าง ๆ คือเสียงใหญ่ เสียงกลาง เสียงเล็ก และประเภทรวมเสียง กิจกรรมร่วมได้จัดให้มีการแจกรางวัลบัตรเสารอกแด่เจ้าของนก ผู้โชคดีจะได้รับรางวัลต่าง ๆ ที่คณะกรรมการได้กำหนดขึ้น ต่อมาในการแข่งขันครั้งที่ ๓ ได้จัดให้มีการแข่งขันแกะเพิ่มขึ้นอีกกิจกรรมหนึ่ง และเมื่อการจัดการแข่งขันครั้งที่ ๕ ได้จัดให้มีกิจกรรมการแข่งขันนกกรงหัวจุก การแข่งขันชนโค และมีการประกวดดนตรีในงานดังกล่าว ต่อมาการจัดงานนกเขาชวาเสียงอาเซียนจังหวัดยะลาได้รับความสนใจ จากประชาชน ทั่วไปแพร่หลายมากขึ้น การจัดกิจกรรมในงานมีความหลากหลายมากขึ้น เช่น การชนไก่ ตกปลา ประกวดพระเครื่อง ประกวดโป้ยเซียน ประกวดร้องเพลง ประกวดดนตรี การออกร้านแสดงสินค้าพื้นเมือง และสินค้าที่เกี่ยวข้องกับนกเขาชวามากมาย
คณะกรรมการจัดการแข่งขันได้กำหนดให้มีรางวัลต่าง ๆ แก่ผู้ชนะในการแข่งขันในแต่ละครั้ง เช่น รางวัลที่ ๑ เป็นรางวัลถ้วยทองคำจากท่านนายกรัฐมนตรีซึ่งดำรงตำแหน่งอยู่ในปีที่จัดการแข่งขัน ดังนี้
ครั้งที่ ๑ - ๓ ปี พ.ศ.๒๕๒๙ - ๒๕๓๑ ชิงถ้วยทองคำของ ฯพณฯ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์
ครั้งที่ ๔ - ๗ ปี พ.ศ.๒๕๓๒ - ๒๕๓๕ ชิงถ้วยทองคำของ ฯพณฯ พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ
ครั้งที่ ๘ - ๑๐, ๑๓, ๑๔ ปี พ.ศ.๒๕๓๖ - ๒๕๓๘, ๒๕๔๑ , ๒๕๔๒ ชิงถ้วยรางวัลของพณฯนายชวน หลีกภัย
ครั้งที่ ๑๑ ปี พ.ศ.๒๕๓๙ ชิงถ้วยทองคำจากพณฯนายบรรหาร ศิลปอาชา
ครั้งที่ ๑๒ ปี พ.ศ.๒๕๔๐ ชิงถ้วยทองคำของ ฯพณฯ พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ
นอกจากนี้ยังมีรางวัลอื่น ๆ รองลงมา เช่น รถยนต์ รถจักรยานยนต์ โทรทัศน์สี ตู้เย็น สร้อยคอทองคำ พัดลม และอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งมีมูลค่าหนึ่งล้านบาท

นกเขาชวาเกือบ 2 พันนกลงประชันเสียงที่ยะลาชิงรถเก๋ง



             งานแข่งขันนกเขาชวาเสียงอาเซียนของจังหวัดยะลานับเป็นกิจกรรมระดับชาติกิจกรรมหนึ่งที่นอกจากจะเป็นสื่อมิตรภาพที่สามารถเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างคนต่างเชื้อชาติ ศาสนา ฐานะ ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ โดยเฉพาะในภูมิภาคอาเซียน ได้สร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศ ตลอดจนก่อให้เกิดความรัก ความเข้าใจและความร่วมมือซึ่งกันและกันแล้ว กิจกรรมดังกล่าวยังช่วยเสริมสร้างรายได้ให้แก่ประชาชนในท้องถิ่น ทำให้เศรษฐกิจของภาคใต้ดีขึ้น ชาวบ้านหลายครอบครัวมีรายได้จากการผสมนกเขาชวาขายจนสามารถสร้างบ้านใหม่ สามารถซื้อรถกระบะสำหรับบรรทุกนกเขาชวาไปขายต่างถิ่นได้ ส่วนผู้มีฝีมือก็ประดิษฐ์กรงนกเขาชวาออกขายได้ราคาดีตามความประณีตของฝีมือ หลายคนเปลี่ยนอาชีพจากการทำเฟอร์นิเจอร์มาทำกรงนกเขาชวาขาย บางคนเป็นข้าราชการแต่ทำเป็นอาชีพเสริม ช่างตัดเย็บเสื้อผ้าหลายคนเปลี่ยนมาเย็บผ้าคลุมกรงนกเขาชวาเสียง ซึ่งมีรายได้มากกว่าตัดเย็บเสื้อผ้าหลายเท่า นอกจากนี้ในช่วงฤดูกาลของการจัดการแข่งขัน ร้านอาหาร ภัตตาคาร โรงแรม จะมีรายได้เพิ่มขึ้นจากผู้คนทั่วทุกสารทิศทั้งในและต่างประเทศ ทำให้ประชาชนในท้องถิ่นมีรายได้เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะจังหวัดยะลาและจังหวัดใกล้เคียง นับได้ว่านกเขาชวาเสียง และการจัดงานแข่งขันนกเขาชวาเสียงอาเซียนของจังหวัดยะลา มีบทบาทในการช่วยพัฒนาเศรษฐกิจของชาวบ้านในท้องถิ่นและประเทศชาติได้เป็นอย่างดีตลอดจนได้เสริมสร้างความรักสามัคคีให้เกิดขึ้นระหว่างคนในชาติและกลุ่มประเทศในอาเซียนอีกด้วย นอกจากนี้คณะกรรมการจัดการแข่งขันได้นำรายได้จากการจัดกิจกรรมดังกล่าวมอบเป็นทุนการศึกษาให้กับนักเรียนใน

แหล่งที่มา : http://www.prapayneethai.com/


     



การแข่งขันนกเขาชวาเสียงอาเซียนจังหวัดยะลา



                                   การแข่งขันนกเขาชวาเสียงอาเซียนจังหวัดยะลา  



ความเป็นมา
           คนไทยนิยมเลี้ยงและนิยมเล่นนกเขาชวามาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ในอดีตจะนิยมเลี้ยงและเล่นกันในราชสำนัก ข้าราชบริพาร ขุนนาง คหบดี และประชาชนที่สูงอายุเท่านั้น มักจะจัดการแข่งขันในงานนักขัตฤกษ์ และงานชมรม สมาคมเกี่ยวกับนกเขาชวารวมทั้งหน่วยงานต่าง ๆ ก็มักจัดให้มีการแข่งขันเป็นครั้งคราว แต่ปัจจุบันการเลี้ยงและการจัดการแข่งขันนกเขาชวาเสียง แพร่กระจายมาสู่พ่อค้า ประชาชน และบุคคลในระดับต่าง ๆ อย่างกว้างขวาง ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ คือ จังหวัดยะลา ปัตตานี นราธิวาส สตูล และสงขลาบางส่วน ประชาชนนิยมเลี้ยงและเล่นนกเขาชวามาช้านาน โดยกระจัดกระจายอยู่ตามหมู่บ้าน ตำบลต่าง ๆ และจัดให้มีการแข่งขันในกลุ่มเล็ก ๆ เฉพาะที่สนใจเท่านั้น ไม่มีหลักฐานปรากฏยืนยัน  ได้ว่าการจัดการแข่งขันนกเขาชวาเสียงเกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อใด แต่เป็นที่ทราบกันดีในหมู่นักเลงนกเขาว่า การแข่งขันนกเขาชวาเสียงที่ยิ่งใหญ่เป็นที่สนใจของผู้นิยมเลี้ยงนกมากที่สุด คือ การแข่งขันนกเขาชวาเสียงชิงถ้วยพระราชทานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำในช่วงต้นเดือนธันวาคมของทุกปี ณ สนามโรงพิธีช้างเผือก อำเภอเมือง จังหวัดยะลา
            ในปี พ.ศ.๒๕๒๙ เทศบาลเมืองยะลา ร่วมกับจังหวัดยะลา ชมรมผู้เลี้ยงนกเขาชวาเสียงจังหวัดยะลา และชมรมผู้เลี้ยงนกเขาชวาเสียงภาคใต้ โดยการสนับสนุนของศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้ร่วมกันพัฒนาสนามแข่งขัน และกติกาการแข่งขันให้มีมาตรฐานเพิ่มขึ้น ตลอดจนความคิดที่จะพัฒนาเสริมสร้างประโยชน์ให้กับท้องถิ่นในด้านเศรษฐกิจจึงได้กำหนดให้มีการแข่งขันนกเขาชวาเสียงชิงชนะเลิศในระดับอาเซียน ขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ ๑ มีนาคม พ.ศ.๒๕๒๙ ณ สนามโรงพิธีช้างเผือก อำเภอเมือง จังหวัดยะลา โดยการใช้ชื่อในการจัดการแข่งขันว่า "การจัดงานแข่งขันนกเขาชวาเสียงชิงแชมป์กลุ่มประเทศอาเซียนครั้งที่ ๑" สาเหตุที่ใช้คำว่า "อาเซียน" เพราะมีประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียงเข้าร่วมแข่งขันด้วย คือ มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย และบรูไน ซึ่งประเทศดังกล่าวนี้มีวิถีชีวิต วัฒนธรรมที่คล้ายคลึงกับประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ของไทย ได้มีการแลกเปลี่ยน สนับสนุนเกื้อกูลกันในเรื่องต่าง ๆ มาตลอด ที่สำคัญคือ มีความชื่นชอบและนิยมเลี้ยงนกเขาชวาเสียงเหมือนกัน จึงเกิดเป็นความสัมพันธ์ทางสังคม คือ สังคมนกเขาชวาเสียงตลอดมา
การจัดการแข่งขันนกเขาชวาเสียงครั้งแรกมีผู้ส่งนกเข้าแข่งขันมากถึง ๑,๒๐๖ นก ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในหมู่ผู้นิยมเสียงนกเขาชวาเสียง และสามารถสร้างชื่อเสียงให้กับจังหวัดยะลา และประเทศไทยเป็นอย่างมาก วงการนกเขาชวาเสียงมีความตื่นตัว มีการซื้อหา และจำหน่ายกันอย่างแพร่หลาย ตลอดจนขยายกิจการฟาร์มเพาะเลี้ยงนกเขาชวาเสียงเพิ่มขึ้น เกิดธุรกิจนกเขาชวาเสียงและสินค้าอื่นๆ ที่เกี่ยวกับการเลี้ยงนกเขาชวาเสียงเกิดขึ้นตามมาเช่น ข้าวเปลือกนกเขา ดอกหญ้า กรงนกและอุปกรณ์ต่าง ๆ เกี่ยวกับการเลี้ยงดูแลนก หลังจากนั้นการแข่งขันนกเขาชวาเสียงอาเซียน ของจังหวัดยะลาได้จัดให้มีการแข่งขันตลอดมาเป็นประจำทุกปี โดยได้พัฒนากิจกรรมต่าง ๆ ตลอดมา จนกระทั่งครั้งที่ ๖ ได้เปลี่ยนชื่อในการจัดการแข่งขันจาก "การจัดงานแข่งขันนกเขาชวาเสียงชิงแชมป์กลุ่มประเทศอาเซียน" เป็น "จัดงานแข่งขันนกเขาชวาเสียงอาเซียน ครั้งที่…….….." เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบันปีพ.ศ.๒๕๔๓ ได้จัดการแข่งขันครั้งที่๑๔ รวมมีนกเข้าร่วมแข่งขันมาแล้วทั้งสิ้นประมาณ ๓๐,๐๐๐ นก
            บรรยากาศความคึกคัก สนุกสนาน รอยยิ้มที่ทักทายกันด้วยความรัก ความเป็นมิตร ของผู้คนมากมายที่ไม่ได้คำนึงถึงเชื้อชาติ ศาสนาและฐานะ พร้อมกับความหวัง จะเกิดขึ้นในช่วงต้นเดือนมีนาคมของทุก ๆ ปี ในงานการจัดการแข่งขันนกเขาชวาเสียงอาเซียนของจังหวัดยะลา จนถือเป็นประเพณีของจังหวัดยะลาและการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยได้บรรจุงานแข่งขันนกเขาชวาเสียง อาเซียนลงในปฏิทินการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยเผยแพร่ไปสู่สายตาชาวโลกอีกด้วย




วันพฤหัสบดีที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2558


การกวนข้าวอาซูรอ ( ขนมอาซูรอ )

การกวนข้าวอาซูรอ (ขนมอาซูรอ)

                  ช่วงเวลา ตรงกับวันที่ ๑๐ เดือนมุฮัรรอม ซึ่งเป็นเดือนแรกของปีของศาสนาอิสลาม (ประมาณเดือนพฤศจิกายนของทุกปี)

 ความเป็นมา

         ความเป็นมาของการกวนข้าวอาซูรอ หรือกวนขนมอาซูรอสืบเนื่องจากได้เกิดน้ำท่วมใหญ่ในสมัยนบีนุฮ (อล) ทำให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สิน ไร่นาของประชาชนและสาวกของนบีนุฮ (อล) และคนทั่วไปอดอาหาร นบีนุฮ (อล) จึงประกาศให้ผู้ที่มีสิ่งของเหลือพอจะรับประทานได้ ให้เอามากองรวมกัน และให้เอาของเหล่านั้นมากวนเข้าด้วยกัน เพื่อให้ทุกคนได้รับประทานอาหารกันโดยทั่วหน้า

ความสำคัญ

         การกวนข้าวอาซูรอ (ขนมอาซูรอ) เป็นประเพณีท้องถิ่นของชาวไทยมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ คำว่า อาซูรอ เป็นภาษาอาหรับ แปลว่า การผสม การรวมกัน คือการนำสิ่งของที่รับประทานได้หลายสิ่งหลายอย่างมากวนรวมกัน มีทั้งชนิดคาวและหวาน การกวนข้าวอาซูรอจะใช้คนในหมู่บ้านมาช่วยกันคนละไม้คนละมือ เพื่อความสามัคคีและสร้างความพร้อมเพรียงเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน อันมีผลต่อการอยู่ร่วมกันของสังคมอย่างมีความสุข ก่อนจะแจกจ่ายให้รับประทานกัน เจ้าภาพจะเชิญบุคคลที่นับถือของชุมชนขึ้นมากล่าวขอพร (ดูอา) ก่อน จึงจะแจกให้คนทั่วไปรับประทานกัน

พิธีกรรม

       การกวนข้าวอาซูรอเริ่มด้วยการที่เจ้าภาพประกาศเชิญชวนนัดหมายให้ชาวบ้านทราบว่าจะมีการกวนข้าวอาซูรอกันที่ไหน เมื่อใด เมื่อถึงกำหนดนัดหมายชาวบ้านก็จะนำอาหารดิบ เช่น เผือกมัน ฟักทอง มะละกอ กล้วย ข้าวสาร ถั่ว เป็นต้น มารวมเข้าด้วยกันแล้วปอกหั่น ตัดให้เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย จากนั้นนำเครื่องปรุง เช่น ข่า ตะไคร้ หอม กระเทียม ผักชี ยี่หร่า เกลือ น้ำตาล กะทิ เป็นต้น มาเป็นเครื่องผสมโดยหั่นตัดให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ เช่นเดียวกัน สำหรับกะทิจะคั้นเฉพาะน้ำมาผสม
วิธีกวน นำกะทะใบใหญ่ตั้งไฟ มีไม้พายสำหรับคนขนมอาซูรอ หลังจากตั้งกะทะบนเตา คั้นน้ำกะทิใส่ลงไป ตำหรือบดเครื่องแกงหยาบ ๆ ใส่ลงในน้ำกะทิ เมื่อกะทิเดือดใส่อาหารดิบต่าง ๆ ที่กล่าวมาแล้ว คนด้วยไม้พายจนกระทั่งทุกอย่างเปื่อยยุ่ย กวนต่อไปจนเป็นเนื้อเดียวกัน เมื่อแห้งได้ที่แล้วตักใส่ถาด โรยหน้าด้วยไข่เจียวหั่นบาง ๆ หรืออาจโรยหน้ากุ้ง เนื้อสมัน ปลาสมัน ผักชี หอมหั่นฝอย แล้วแต่รสนิยมของท้องถิ่น แล้วตัดเป็นชิ้น ๆ แจกจ่ายกันรับประทาน

หมายเหตุ : เนื้อสมัน ปลาสมัน คือ ปลา หรือเนื้อวัว ที่ต้มเคี่ยวด้วยเครื่องแกงจนแห้ง ใช้ทัพพีขยี้จนเนื้อเหล่านั้นเป็นผงฝอย แล้วนำไปโรยหน้าขนมอาซูรอ ถ้าเป็นชนิดหวานมีส่วนผสมเหมือนอาซูรอชนิดคาว แต่งใส่เครื่องเทศ และอาหารจำพวกเนื้อ เพิ่มน้ำตาลให้มากขึ้นและไม่ต้องโรยหน้า

วันจันทร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2558

ก่อเกิดใหม่ ลิเกฮูลู คณะอีแกมะฮ


ลิเกฮูลู
การละเล่นพื้นบ้านของจังหวัดชายแดนภาคใต้

ท่ารำ / แสดง                  
                   นักร้องนำ -  ร้องนำ  ลีลาการเต้น
                   ลูกคู่  -  ประสานเสียง
                   นักแสดง -  แสดงลีลาท่าทาง

ขั้นตอนการแสดง

                   1.  บรรเลงดนตรี
                   2.  ขับกลอน ขับเสภา( มาแตปาตง )
                   3.  กาโร๊ะ
                   4.  ร้องเพลง เป็น 2  ภาษา
                   5.  กาโร๊ะตานี  ( ตักเตือน / เชิญชวนให้เป็นเด็กดี )
                   6.  วาบูแล  (การร้องเพลงปิดการแสดง )

เวลาการแสดง                    ประมาณ 1 – 1.30 ชั่วโมง




แค่พิธีกรก็ สองวัย สองภาษาแล้ว

ขอบคุณภาพ และคลิบ จาก อบต.อัยเยอร์เวง
โอกาสและเวลาที่เล่น                
                    แต่เดิมนิยมแสดงในงานพิธีต่าง ๆ เช่น เข้าสุหนัต งานแต่งงาน (มาแกปูโล๊ะ) ปัจจุบันลิเกฮูลูยังแสดงในงานเทศกาลต่าง ๆ ร่วมกับมหรสพอื่น ๆ บางท้องที่ก็แสดงในงานพิธีสำคัญ เช่น พิธีถวายพระพรวันเฉลิมพระชนมพรรษาเป็นต้น 

คุณค่าแนวคิดสาระ                     
                     การแสดงลิเกฮูลูยังสามารถเผยแพร่รณรงค์ให้ประชาชนเข้าใจถึงภัยร้ายของยาเสพติด ยาบ้า ปัญหาโรคเอดส์ ความสะอาดและบางครั้งจะนำบทเพลงทั่วๆไป มาร้อง ไม่ว่าจะเป็นเพลงสตริง หรือลูกทุ่ง  มีการผสมผสานภาษามลายูท้องถิ่นหรือจะนำบทเพลงอันนาซีร มาขับว่านเป็นห้วงทำนอง ก็ได้ทั้งความรู้และความสนุกสนาน


เครื่องแต่งกาย

                แต่เดิมผู้เล่นจะโพกหัว สวมเสื้อคอกลม นุ่งโสร่ง บางครั้งอาจเหน็บขวานทำนองไว้ข่มขวัญคู่ต่อสู้ ต่อมามีการแต่งกายแบบการเล่นสิละ แต่ไม่เหน็บกริชหรือถือกริช อาจเหน็บขวาน ในปัจจุบันมักแต่งกายแบบไทยมุสลิมทั่วไปหรือตามแบบสมัยนิยม
                แต่คณะอีแกมะฮ จะใส่ชุดแบบมลายู เสื้อแขนยาว, กางเกงขายาว มีหมวก สายสะพาย และผ้ารัดเอว

วิธีการเล่น                   
                 วิธีการเล่น เริ่มแสดงดนตรีโหมโรงเพื่อเร้าอารมณ์คนดู สมัยก่อนมีการไหว้ครูในกรณีที่มีการประชันกันระหว่างหมู่บ้าน หรืออาจมีหมอผีของแต่ละฝ่ายปัดรังควานไล่ผีคู่ต่อสู้ก็มี ปัจจุบันสู้กันด้วยศิลปคารมอย่างเดียว เมื่อลูกคู่โหมโรงต้นเสียงจะออกมาร้องทีละคน เริ่มด้วยวัตถุประสงค์ของการแสดง หลังจากนั้น ก็เริ่มเข้าสู่เรื่องราว อาจจะเป็นเหตุการณ์บ้านเมือง หรือความรักของหนุ่มสาว หรือเรื่องตลก ในกรณีที่มีการประชัน หรือบางครั้งก็เป็นเรื่องราวการกระทบกระแทก เสียดสีกัน หรือหยิบปัญหาต่าง ๆ มากล่าวเพื่อให้ผู้ชมชื่นชอบในคารมและปฏิภาณ






เครื่องดนตรี
              
                โดยทั่วไปเครื่องดนตรีจะประกอบด้วย รำมะนา(รือบานา) อย่างน้อย ๒ ใบ ฆ้อง ๑ วง และลูกแซ็ก ๑ - ๒ คู่ อาจมีขลุ่ยเป่าคลอขณะลูกคู่ร้อง และดนตรีบรรเลง ดนตรีจะหยุดเมื่อมีการร้องหรือขับ ทำนองเดียวกับการร้องลำตัดหรือเพลงฉ่อย ท่วงทำนองปัจจุบันมี ๓ จังหวะ คือ สโลว์ แมมโบสเลว์ และจังหวะนาฏศิลป์อินเดีย ซึ่งเนื้อร้องจังหวะใดก็ต้องใช้ร้องกับจังหวะนั้นๆ จะใช้ร้องต่างจังหวะกันไม่ได้
                แต่คณะอีแกมะฮมีความพิเศษตรงที่ เครื่องดนตรีเกือบทุกชิ้น ทำขึ้นเองทั้งหมด ยกเว้น  ฉิ่ง ฉาบ ลูกแซด โดยมีรายการดังนี้
 

เครื่องดนตรีภาษาไทย ( และภาษายาวี)                1.รำมะนาใหญ่ (บานอร์อีบู)
                2.รำมะนาเล็ก (บานอร์อาเนาะ)
                3.ฆ้อง (โฆ่ง)
                4.โม่ง (ม่อง)
                5.ฉิ่ง (อาเนาะอาแย )
                6.ฉาบ (ฉาบ)
                7.ไม้ปรบมือ (กายูตือโป๊ะ)
                8.แซด (แซด)
                9.ลูกแซด (เวาะลอมา)


ประวัติความเป็นมาของดิเกฮูลู คณะอีแกมะฮ โดย หัวหน้าคณะ นายมะเย็ง ดอเลาะ

ตั้งแต่นายมะเย็ง  ดอเลาะจำความได้ ก็เห็นบิดาเล่นลิเกฮูลูแล้ว โดยบิดาจะเล่นกันสนุกๆแบบไม่จริงจัง เล่นตามงานประเพณีในหมู่บ้าน  หมู่ที่ 3 บ้าน กม.36 ต.อัยเยอร์เวง อ.เบตง จ.ยะลา รวมไปถึงหมู่บ้านใกล้เคียงในตำบลอัยเยอร์เวง ซึ่งถือว่านายมะเย็ง  ดอเลาะ ได้รับอิทธิพลการละเล่นลิเกฮูลู จากคนในครอบครัวคือบิดา
 
               ปี  พ.ศ. 2522 ขณะนายมะเย็ง  ดอเลาะอายุได้  30  ปี จึงได้จัดตั้งคณะลิเกฮูลูเป็นของตนเอง โดยมีสมาชิกเริ่มต้นจำนวน  15  คน ซึ่งส่วนใหญ่สมาชิกจะเป็นคนในพื้นที่  จึงเริ่มซ้อมการละเล่นและรับแสดงในงานแต่งงาน  งานประเพณี หรืองานกิจกรรมสังสรรค์ต่างๆ แต่ยังไม่มีเยาวชนเข้าร่วมเป็นสมาชิกวง
               ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2546 นายมะเย็ง  ดอเลาะได้ฝึกสอนให้ลูกๆหลานๆให้รู้จักศิลปะการละเล่นลิเกฮูลู เพราะเด็กๆมีความสนใจ อยากเข้าร่วมเป็นสมาชิกวงลิเกฮูลู  โดยในระยะแรกจะฝึกการร้องเพลงก่อน และคัดเลือกคนที่มีหน่วยก้านดี แก้วเสียงใส  จากนั้นก็วางตำแหน่ง  อุปกรณ์เครื่องดนตรีตามความสนใจ และเมื่อได้ลงมือฝึกฝนจึงทำให้สามารถคัดเลือกคนที่มีพรสวรรค์ เป็นสมาชิกวงลิเกฮูลู ฝึกซ้อมทุกวันในช่วง พร้อมๆกับเปิดโอกาสให้ ออกแสดงในงานที่มีหน่วยงานราชการติดต่อมา และขอรับการสนับสนุนจากหน่วยงานของภาครัฐ เพื่อจัดซื้ออุปกรณ์เครื่องเสียง เครื่องดนตรี และชุดสำหรับการแสดง 
              จากวันนั้นถึงวันนี้ คณะลิเกฮูลูมีสมาชิกทั้งหมดประมาณ 25 คน ประกอบด้วยผู้ใหญ่ 13 คน เยาวชน 12 คน ผ่านการแข่งขันระดับจังหวัด จนได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 3 ระดับจังหวัดยะลา และล่าสุดได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 4  ระดับ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ของศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้


ประวัติความเป็นมา

ลิเกฮูลู หรือ ดิเกฮูลู มาจากคำว่า ลิเก หรือดิเก และฮูลู ท่านผู้รู้ได้กล่าวไว้ว่าลิเกหรือ ดิเกมาจากคำว่า ซี เกร์ หมายถึง การอ่านทำนองเสนาะ ส่วนคำว่าฮูลู แปลว่า ใต้หรือทิศใต้ รวมความแล้วหมายถึง การขับบทกลอนเป็นทำนองเสนาะจากทางใต้
               ลิเกฮูลู เป็นการละเล่นพื้นบ้านแถบจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ได้รับความนิยมมากของชาวไทยมุสลิม มักจะใช้แสดงในงานมาแกปูโละ งานสุหนัด งานเมาลิด งานฮารีรายอแล้ว คำว่า "ลิเก" หรือ  ดิเกร์" เป็นศัพท์เปอร์เซีย มีความหมาย ๒ ประการ คือ
              ๑. เพลงสวดสรรเสริญพระเจ้า ซึ่งเรียกการสวดดังกล่าวนี้ว่า"ดิเกร์เมาลิด"
              ๒. กลอนเพลงโต้ตอบ นิยมเล่นกันเป็นกลุ่มคณะ เรียกว่า "ลิเกฮูลู" บ้างก็ว่าได้รับแบบอย่างมาจากคนพื้นเมืองเผ่าซาไก เรียกว่า มโนห์ราคนซาไก บ้างก็ว่าเอาแบบอย่างการเล่นลำตัดของไทยผสมเข้าไปด้วย 
    
               การตั้งวงคล้ายกับการตั้งวงลำตัดหรือเพลงฉ่อยของภาคกลาง คณะหนึ่งมีลูกคู่ประมาณ ๑๐ กว่าคน ผู้ร้องเพลงและขับร้องมีประจำคณะอย่างน้อย ๒ - ๓ คน และอาจมีนักร้องภายนอกวงมาสมทบร่วมสนุกอีกก็ได้ กล่าวคือ คนดูคนใดนึกสนุกอยากร่วมวงก็จะได้รับอนุญาตจากคณะลิเกคล้ายๆ กับการเล่นเพลงบอกภาคใต้ เวทีแสดงยกสูงไม่เกิน ๑ เมตร โล่งๆ ไม่มีม่านหรือฉาก ลูกคู่ขึ้นไปนั่งล้อมวงร้องรับและตบมือ โยกตัวเข้ากับจังหวะดนตรี ส่วนผู้ร้อง หรือผู้โต้กลอนจะลุกขึ้นยืนข้างๆ วงลูกคู่ ถ้ากรณีมีการประชันกันแต่ละคณะจะขึ้นนั่งบนเวทีด้วยกัน แต่ล้อมวงแยกกัน การแสดงก็ผลัดกันร้องทีละรอบ ทั้งรุกทั้งรับเป็นที่ครึกครื้นสบอารมณ์ผู้ชม